ค่าคอมมิสชัน

โดยทั่วไปแล้ว การคิด ค่าคอมมิสชัน มักเป็นหน้าที่ของฝ่ายบัญชี ถึงแม้ว่า HR อาจไม่ได้มีส่วนโดยตรงในการคำนวณ แต่ในบางกรณี HR อาจต้องอธิบาย หรือแจกแจงข้อมูลให้กับพนักงาน ทำให้การมีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีคำนวณค่าคอมฯ จึงถือเป็นสกิลที่ช่วยเสริมความเชี่ยวชาญ ในการทำงานได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น เพื่อเป็นแนวทางที่เข้าใจง่าย กับสาย Human Resource ในบทความนี้ Cloud-TA ได้รวบรวมสูตรการคำนวณ ค่าคอมมิสชัน ที่ใช้กันทั่วไป มาอธิบายอย่างกระชับ และชัดเจน หากพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

ค่าคอมมิสชัน คืออะไร ? และมีความสำคัญอย่างไร

ค่าคอมมิสชัน (Commission) คือ ค่าตอบแทนพิเศษที่พนักงานจะได้รับตามเป้าหมาย หรือเงื่อนไขที่องค์กรกำหนด โดยส่วนใหญ่มักมาจากส่วนแบ่งการขายที่ใช้เป็นแรงจูงใจ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานสร้างผลงานที่ดีขึ้น โดยหลัก ๆ จะคิดค่าดังกล่าวออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ค่าคอมฯ ตามยอดขาย, ค่าคอมฯ แบบขั้นบันได และคิดค่าคอมฯ ตามกำไร

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ กำลังประสบปัญหาในการคำนวณค่าคอมฯ ขอแนะนำ Cloud-TA โปรแกรมบันทึกเวลางานออนไลน์ ที่มาพร้อมระบบเงินเดือนครบวงจร ช่วยให้การคำนวณรายละเอียดค่าตอบแทน และเงินเดือนของพนักงานเป็นเรื่องง่าย และแม่นยำ

ค่าคอมมิสชัน

รวม 3 สูตรคำนวณอัตรา ค่าคอมมิสชัน เป็นร้อยละ พร้อมยกตัวอย่าง

หลักการคิดค่า Commission แบบร้อยละ หรือเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก มีความเข้าใจง่าย และสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับโครงสร้างธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น และง่ายต่อการทำงานของ Human Resource โดยทั่วไปสามารถแบ่งสูตรคำนวณหลัก ๆ ได้ 3 รูปแบบ ดังนี้

  1. คำนวณจากยอดขายสินค้า

การคำนวณค่าคอมฯ จากยอดขายสินค้า เป็นวิธีที่เข้าใจง่ายที่สุด โดยอ้างอิงจากราคาขายของสินค้าทุกชิ้น ที่พนักงานสามารถปิดการขายได้ โดยพนักงานจะได้รับส่วนแบ่งค่าคอมฯ ตามมูลค่าของแต่ละรายการสินค้า

ตัวอย่างเช่น พนักงานขายอุปกรณ์การเกษตรได้ 20,000 บาท ได้รับค่าคอมฯ 5%

สูตรคำนวณ: Commission =ราคาสินค้าอัตราคอมฯ (%)100

=20,0005100

=1,000 บาท

  1. คำนวณตามขั้นบันได

ถัดมากับวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสาย Human Resource คือ การคำนวณค่า Commission ตามขั้นบันได ซึ่งต่อยอดจากการคำนวณจากยอดขายรวม โดยบริษัทจะกำหนดขั้นต่ำของยอดขาย ที่พนักงานต้องทำให้ถึงก่อนที่จะได้รับค่าคอมฯ 

โดยวิธีนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจ ให้พนักงานมุ่งมั่นปิดการขายมากขึ้น เพราะยิ่งยอดขายสูงเท่าไหร่ พนักงานก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ตามขั้นบันไดที่ตั้งไว้

ตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดคอมมิสชันตามยอดขายจริงที่ทำได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ยอดขาย 50,000 บาท ขึ้นไป ได้รับ 3%
  • ยอดขาย 100,001 – 200,000 บาท ได้รับ 5%
  • ยอดขายเกิน 200,000 บาท ได้รับ 7%

ถ้าพนักงานทำยอดได้ 250,000 บาท สามารถคำนวณจะคิดตามสูตร

สูตรคำนวณ:Commission=(ยอดขายในช่วงนั้น × อัตราค่าคอมฯ ของช่วงนั้น)

=(100,000 3100)+(100,000 5100) +(50,000 7100)

Commission= 3,000+5,000+3,500 = 11,500 บาท

  1. คำนวณตามกำไร

การคำนวณตามกำไร เป็นวิธีใช้การคำนวณค่าคอมฯ จากยอดกำไรของสินค้า แทนที่จะเน้นเพียงยอดขายรวมเพียงอย่างเดียว ทำให้มั่นใจได้ว่า ทุกยอดขายที่เกิดขึ้น จะสร้างกำไรให้กับบริษัทจริง

ตัวอย่างเช่น พนักงานขายสินค้ามูลค่า 250,000 บาท โดยได้กำไรสุทธิจากการขาย 40,000 บาท (กำไรสุทธิ = รายได้จากการขาย – ต้นทุนสินค้า – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) และค่าคอมฯ ได้รับ 10%

สูตรคำนวณ: Commission =กำไรสุทธิอัตราคอมฯ (%)100

=40,00010100

Commission =4,000 บาท

ค่าคอมมิสชัน

เปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย สูตรคำนวณค่าคอมมิสชัน แต่ละแบบ ?

จากที่อธิบายข้างต้น สูตรคำนวณค่าคอมฯ หลัก ๆ อยู่ 3 แบบ อย่างไรก็ตาม สูตรแต่ละแบบมีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ขออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

  • การคำนวณจากยอดขายสินค้า

การคำนวณค่าคอมฯ จากยอดขายสินค้า ถือเป็นวิธีที่เข้าใจง่าย และประเมินผลได้ชัดเจน โดยพนักงานจะได้รับค่าคอมฯ ตามยอดขายของแต่ละรายการสินค้า วิธีนี้เหมาะสำหรับการกระตุ้นให้พนักงาน ผลักดันยอดขายสินค้าเฉพาะตัว และสามารถติดตามผลการขายแต่ละรายการได้ง่าย 

ในส่วนข้อเสีย คือ วิธีนี้ไม่สะท้อนถึงความสามารถ ในการทำกำไรของบริษัท หากสินค้าบางรายการมีกำไรต่ำ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบ และกระตุ้นให้พนักงานเน้นปริมาณขายมากกว่าคุณภาพ

  • การคำนวณตามขั้นบันได

สำหรับการคำนวณตามขั้นบันได ซึ่งวิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้พนักงานมีแรงจูงใจ ในการปิดยอดขายให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด และค่า Commission จะเพิ่มตามขั้นของยอดขาย ทำให้พนักงานมีแรงแข่งขันภายในทีม และช่วยให้ยอดขายรวมสูงขึ้น แต่ข้อเสีย คือ การติดตาม และคำนวณซับซ้อนกว่าการคิดจากยอดขายตรง ๆ และหากตั้งเกณฑ์สูงเกินไป อาจทำให้พนักงานท้อใจ

  • การคำนวณตามกำไร

การคำนวณค่าคอมฯ ตามกำไรช่วยให้บริษัท และพนักงานเน้นการขายที่มีกำไรจริง ไม่เน้นเพียงปริมาณยอดขายเท่านั้น วิธีนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องควบคุมต้นทุน หรือสินค้ามีกำไรแตกต่างกันในแต่ละรายการ โดยสามารถลดความเสี่ยง ที่บริษัทจะเสียเปรียบ จากการขายสินค้าที่มีกำไรต่ำ 

อย่างไรก็ตาม การคำนวณวิธีนี้ซับซ้อนกว่าแบบอื่น ต้องใช้ข้อมูลบัญชีเข้ามาช่วย และพนักงานบางคนอาจไม่เข้าใจง่าย จึงต้องอธิบาย และฝึกอบรมเพิ่มเติม ทำให้เสียทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

สุดท้ายนี้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจ และลักษณะการทำงานของพนักงานถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในการเลือกใช้สูตรคำนวณค่าคอมฯ โดยเฉพาะในองค์กรที่มีพนักงานขายจำนวนมาก การคิดค่าคอมฯ อาจกลายเป็นเรื่องซับซ้อน และใช้เวลานานสำหรับฝ่ายบุคคล

ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ใช้โปรแกรม Payroll จาก Cloud-TA เป็นตัวช่วยกับ Human Resource ในการบริหารจัดการเงินเดือน และค่าคอมมิสชันของพนักงานอย่างง่ายดาย โดยโปรแกรมนี้มาพร้อมฟีเจอร์ที่ออกแบบมา เพื่อรองรับทุกความต้องการขององค์กร ช่วยลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจสามารถติดต่อ เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website: https://cloud-ta.com/

Email: cloud-ta@innova.co.th

Tel: 091-717-5499, 092-273-1760 (Sale)

Line: @Cloud-TA