สิทธิ์ประกันสังคม

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงานแล้ว มนุษย์เงินเดือนทุกคน จะต้องถูกหักเงินประกันสังคมเป็นประจำทุกเดือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจาก เป็นหนึ่งในข้อบังคับทางกฎหมายแรงงาน ที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตาม โดยเมื่อรวมยอดในแต่ละปีที่จ่ายไปนั้น ก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับใครที่ยังสงสัย และมีข้อข้องใจเกี่ยวกับประกันสังคม ในบทความนี้ Cloud-TA จะมาแชร์ สิทธิ์ประกันสังคม ทุกมาตรา ให้มนุษย์เงินเดือนทุกคน ได้ทำความเข้าใจอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และใช้สิทธิได้ทันที ในเวลาที่เจ็บป่วย หรือลาออกจากงาน หากพร้อมแล้ว เราไปดูกันได้เลย

สิทธิ์ประกันสังคม

สาระน่ารู้ ! ประกันสังคม มีทั้งหมดกี่ประเภท ?

ประกันสังคม (Social Security Fund) เป็นระบบสวัสดิการสังคม ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ โดยมีการจัดตั้งกองทุนประกันสังคม เพื่อนำมาใช้จ่ายกับแรงงานที่เป็นสมาชิก ในกรณีที่เจ็บป่วย ออกจากงาน คลอดบุตร ประสบอุบัติเหตุ ชราภาพ และเสียชีวิต โดยไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของชีวิต ซึ่งแต่ละบริษัทต้องมีการสมทบให้กับพนักงาน ตามกฎหมายแรงงานที่ระบุไว้ โดยประเภทของผู้ประกันตน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

ประกันสังคม มาตรา 33

ลูกจ้าง หรือพนักงานเอกชนทั่วไป อายุ 15 – 60 ปี ทำงานในหน่วยงานที่มีมากกว่า 1 คนขึ้นไป จ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมสูงสุด ไม่เกินเดือนละ 750 บาท ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ในอัตราเดียวกันอีกด้วย

สำหรับประกันสังคม มาตรา 33 จะได้รับความคุ้มครอง 7 กรณี คือ เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ เสียชีวิต และว่างงาน โดยเงินสมทบ 750 บาท จะถูกนำไปจัดสรรตามสัดส่วน ดังนี้

  • ส่วนที่ 1: อัตรา 1.5% จำนวน 225 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และคลอดบุตร
  • ส่วนที่ 2: อัตรา 0.5% จำนวน 75 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีว่างงาน
  • ส่วนที่ 3: อัตรา 3% จำนวน 450 บาท สำหรับคุ้มครองสิทธิประโยชน์การสงเคราะห์บุตร หรือชราภาพ ซึ่งในส่วนนี้คือเงินสะสม จะได้รับคืน เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

ประกันสังคม มาตรา 39

ผู้ที่เคยเป็นพนักงานเอกชน และจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และต้องการรักษาสิทธิประกันสังคม ทั้งนี้ ต้องออกจากงานเดิมมาไม่เกิน 6 เดือน ถึงจะรักษาสิทธิได้ รวมถึงไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ

โดยผู้ประกันตนมาตรา 39 ต้องส่งเงินเข้ากองทุน 432 บาทต่อเดือน และรัฐจะช่วยสมทบอีก 120 บาทต่อเดือน ซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง 6 กรณี คือ เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต

ประกันสังคม มาตรา 40

สำหรับผู้ที่ไม่เข้าข่ายผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 แต่อยากได้รับสิทธิประกันสังคม ก็สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานนอกระบบ อายุไม่เกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผน 1, 2 และ 3 จ่ายเดือนละ 70, 100 และ 300 ตามลำดับ ต่างกันไปตามความคุ้มครอง

สิทธิ์ประกันสังคม

เจาะลึก สิทธิ์ประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนแต่ละมาตราจะได้รับ

หลังจากที่ทำความเข้าใจในเรื่องของ สิทธิ์ประกันสังคม กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าความคุ้มครองจะมีด้วยกันทั้งหมด 7 หมวด ครอบคลุมทั้งเรื่องค่ารักษาพยาบาล ความเจ็บป่วย บำนาญ บุตร และชดเชยการว่างงาน โดย สิทธิ์ประกันสังคม ทั้ง 7 หมวด มีรายละเอียดดังนี้

กรณีเจ็บป่วย

ผู้ประกันตนประกันสังคม มีสิทธิได้รับค่าส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค ตามหลักเกณฑ์ และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์ฯ กำหนด ซึ่งรวมถึงการฉีดวัคซีน ตามสถานการณ์การระบาดของโรค ที่กำหนดขึ้นในแต่ละปี โดยสามารถเข้ารับบริการได้ ณ สถานพยาบาลที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด สำหรับสิทธิเข้ารับการรักษา สามารถแยกเป็นแต่ละกรณี ดังนี้

1.1 เจ็บป่วยปกติ

ผู้ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคม สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลตามสิทธิ หรือเครือข่ายของสถานพยาบาลนั้น ๆ ได้ฟรี โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) รวมถึงรับบริการตรวจสุขภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพหลังเจ็บป่วยด้วย

1.2 ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน

ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชน โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองตามสิทธิที่ประกันสังคมจ่ายให้ ได้แก่

  1. กรณีเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ
  • ผู้ป่วยนอก (OPD): เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง
  • ผู้ป่วยใน (IPD): เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ไม่นับรวมวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
  1. กรณีเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ
  • ผู้ป่วยนอก (OPD): เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 1,000 บาท หรือเกิน 1,000 บาทได้ หากมีการตรวจรักษาตามรายการ ในประกาศของคณะกรรมการการแพทย์
  • ผู้ป่วยใน (IPD): กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท ค่าห้องและค่าอาหาร ไม่เกินวันละ 700 บาท
  • ผู้ป่วยใน กรณีที่รักษาในห้อง ICU: เบิกค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง และค่าอาหาร ได้รวมไม่เกินวันละ 4,500 บาท ผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ 8,000-16,000 บาท ค่ายา และค่าอุปกรณ์ เบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาท ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และค่าเอกซเรย์ เบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาท

1.3 ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต

หากผู้ประกันตนประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต เช่น หมดสติไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน และแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก สามารถเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ นับรวมวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

1.4 ทันตกรรม

สำหรับผู้ประกันตนประกันสังคม ก็มีสิทธิได้รับการรักษาทันตกรรมฟรีเช่นกัน แต่ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ จึงจะได้รับสิทธิ โดยแบ่งออกเป็น

  1. ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด: จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 900 บาท/ปี
  2. ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน: จ่ายค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมให้ตามจริง ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
  3. ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปาก: จ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม

กรณีคลอดบุตร

สำหรับผู้ประกันตันสังคม มาตรา 33 และ 39 ซึ่งจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนคลอดบุตร จะได้รับสิทธิในกรณีคลอดบุตร ดังนี้

  • ผู้ประกันตนหญิง: ได้รับเงินค่าคลอดบุตร 15,000 บาท ไม่จำกัดสถานพยาบาลและจำนวนครั้ง พร้อมรับเงินสงเคราะห์การหยุดงาน เพื่อคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน
  • ผู้ประกันตนชาย: ในกรณีที่มีภรรยาที่จดทะเบียนตามกฎหมาย หรืออยู่กินกันฉันสามีภรรยา จะได้รับเงินค่าคลอดบุตร 15,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ทั้งสามี และภรรยาเป็นผู้ประกันตนประกันสังคม ให้เลือกใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร หรือจำนวนครั้งในการเบิก

กรณีทุพพลภาพ

ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนทุพพลภาพ จะได้รับการคุ้มครองในกรณีทุพพลภาพ  ออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

3.1 เงินทดแทนการขาดรายได้

  • กรณีทุพพลภาพไม่รุนแรง: ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 180 เดือน
  • กรณีทุพพลภาพรุนแรง: ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ได้รับเป็นรายเดือนตลอดชีวิต

3.2 ค่าบริการทางการแพทย์

  • สถานพยาบาลของรัฐ: ผู้ป่วยนอก (OPD) รับการรักษาด้วยค่าบริการทางการแพทย์ตามจริง และผู้ป่วยใน (IPD) เข้ารับการรักษาได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • สถานพยาบาลเอกชน: ผู้ป่วยนอก (OPD) รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท และผู้ป่วยใน (IPD) ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท

3.3 เงินสงเคราะห์กรณีถึงแก่ความตาย

  • หากผู้ประกันตนเสียชีวิต ในขณะที่ทุพพลภาพ จะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท โดยมอบให้ผู้จัดการศพ
  • กรณีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
  • กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์ เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน

กรณีเสียชีวิต

ในกรณีที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 เสียชีวิต และจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ผู้จัดการศพจะได้รับเงินค่าทำศพ 50,000 บาท และจะได้รับเงินสงเคราะห์ 2 กรณี ดังต่อไปนี้

  1. จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน: รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย 4 เดือน พร้อมรับค่าทำศพ 50,000 บาท
  2. จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป: รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย 12 เดือน พร้อมรับค่าทำศพ 50,000 บาท

กรณีชราภาพ

สำหรับเงินทดแทนกรณีชราภาพ จะแยกออกเป็น 2 กรณี โดยผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของประกันสังคมเท่านั้น คือ

5.1 เงินบำเหน็จชราภาพ

ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย จะมีสิทธิรับเงินบำเหน็จ โดยจ่ายเป็นก้อนเดียว ตาม 2 เงื่อนไข ได้แก่

  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 1-11 เดือน: รับเงินบำเหน็จชราภาพ เท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายฝ่ายเดียว
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12-179 เดือน: ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ เท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตน และนายจ้างจ่ายเงินสมทบ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน

5.2 เงินบำนาญชราภาพ

ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับเงินบำนาญ จะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ซึ่งจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต ตาม 2 เงื่อนไข ได้แก่

  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน: จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
  • ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน: เงินบำนาญตามข้อ 1 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกในอัตราปีละ 1.5%
  • กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพ เสียชีวิตภายใน 60 เดือน นับตั้งแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ: จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต

กรณีสงเคราะห์บุตร

ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ที่จ่ายเงินสมทบ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน จึงจะได้รับสิทธิค่าสงเคราะห์บุตรคนละ 800 บาท/เดือน โดยจะต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ที่มีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ ครั้งละไม่เกิน 3 คน

กรณีว่างงาน

สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จะได้รับสิทธิค่าชดเชย โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

  1. กรณีถูกเลิกจ้าง: จะได้รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 70% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 200 วัน
  2. กรณีลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง: จะได้รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 45% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน
  3. กรณีว่างงาน เนื่องจากเหตุสุดวิสัย: จะได้รับเงินทดแทนในช่วงว่างงาน 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน

ทั้งนี้ หากคุณเป็นองค์กรที่อยากจัดการเงินเดือน และสวัสดิการผู้ประกันตนอย่างครบวงจร ขอแนะนำ Cloud-TA ระบบ Payroll และ Time Attendance ที่เชื่อมต่อกับการคำนวณเงินสมทบสวัสดิการผู้ประกันตนอัตโนมัติ ทำให้ HR ลดเวลาการทำงานเอกสาร และตรวจสอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ทั้งยังปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานอีกด้วย

สิทธิ์ประกันสังคม

Q&A รวมเรื่องที่มนุษย์เงินเดือนสงสัย เกี่ยวกับ สิทธิ์ประกันสังคม 

เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจ สิทธิ์ประกันสังคม มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเกิดคำถามมากมาย เพราะกลัวว่าจะเสียเปรียบ หรือไม่สามารถใช้สิทธิได้ในอนาคต Cloud-TA จึงได้รวบรวมปัญหาที่คนส่วนใหญ่สงสัย เพื่อให้ HR นำไปตอบบุคลากรได้ง่ายขึ้น จะมีอะไรบ้าง เรามาดูกัน

นายจ้างไม่ยื่นประกันสังคม และไม่ส่งเงินสมทบได้หรือไม่

หากนายจ้างไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม และลูกจ้างไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายแรงงาน โดยจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กรณีลาออกจากงาน และต้องการรักษาสิทธิ ต้องทำอย่างไร

สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ลาออกจากงาน และต้องการรักษาสิทธิประกันสังคม แนะนำให้สมัครมาตรา 39 ภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง เพื่อรักษาสิทธิประกันสังคม 6 กรณี ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข

ผู้ประกันตนเปลี่ยนสถานพยาบาลได้อย่างไร

ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ปีละ 1 ครั้งต่อปี โดยจะต้องเปลี่ยนในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี หรือในกรณีที่ย้ายงาน หรือที่พักอาศัยข้ามจังหวัด สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลระหว่างปีได้ที่ สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ, เว็บไซต์ www.sso.go.th, แอปพลิเคชัน SSO Connect และ Line Official SSO

หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน ใช้บริการที่โรงพยาบาลไหนได้บ้าง

ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน โดยจะต้องทำการสำรองจ่ายก่อน และนำหลักฐานมาเบิกทดแทนได้ตามอัตราที่กำหนด

สำหรับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาระบบ Time Attendance อย่าลืมนึกถึง Cloud-TA ระบบบันทึกเวลาทำงาน และระบบลางานออนไลน์ผ่านคลาวด์ ที่จัดเก็บข้อมูลบนระบบ Microsoft Azure มั่นใจได้ในความปลอดภัย อีกทั้งยังออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานไทย หากสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Website: https://cloud-ta.com/

Email: cloud-ta@innova.co.th

Tel: 091-717-5499, 092-273-1760 (Sale)

Line: @Cloud-TA